เมื่อวันที่25มิถุนายน 2561 ผู้สื่อข่าวรายงาน ความคืบหน้ากรณีนักเรียนทีมฟุตบอล “หมูป่า” อายุตั้งแต่ 11-16 ปี พร้อมผู้ฝึกสอนหรือโค้ชอายุ 25 ปีจาก ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวม 13 คน ผลัดหลงอยู่ภายในถ้ำหลวง เขตวนอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน หมู่บ้านจ้องวัด หมู่ 9 ต.โป่งผา อ.แม่สาย ตั้งแต่เย็นวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมาทำให้หลายหน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยกู้ภัยส่งทีมเข้าไปติดตามช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่พบกลุ่มเยาวชนดังกล่าวขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย สั่งการให้ตั้งกองอำนวยการบริเวณปากถ้ำเพื่อแบ่งทีมเข้าค้นหาอย่างต่อเนื่องนั้นรวมทั้งขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่มีศักยภาพให้ร่วมสนับสนุนการค้นหานั้น
ล่าสุดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) กองทัพเรือ โดย พลเรือตรีอาภากร อยู่คงแก้ว ผบ.นสร.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือดังกล่าวหรือหน่วยซีลได้จัดกำลังพลจากกรมรบพิเศษที่ 1 ทหารเรือ และอุปกรณ์ช่วยเหลือเต็มพิกัดเดินทางไปให้การสนับสนุนการช่วยเหลือที่ถ้ำหลวงดังกล่าวแล้วโดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 06.00 น.ของวันที่ 25 มิ.ย.เป็นต้นไปหลังจากได้สำรวจภายนอกและสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนที่ผ่านมา
โดยนาวาเอกอนันต์ สุราวรรณ ผบ.กรมรบพิศษที่ 1 ทหารเรือ ซึ่งกำลังพลไปที่ อ.แม่สาย เปิดเผยว่าจากข้อมูลข่าวสารจากคนในพื้นที่และคนที่เคยสำรวจทราบว่าถ้ำเป็นแอ่งน้ำและช่องไม่กว่างมากนักและมีสิ่งกีดขวาง ทำให้ไม่ยังสามารถเข้าไปได้แนวทางปฏิบัติคือส่งส่วนล่วงหน้าไปสำรวจและชุดทีมงานจะเข้าไปดำเนินการต่อไป เบื้องต้นมีการแบ่งชุดทำงานเป็น 4 ชุด เพื่อไม่ให้ตราตรำมากนักและทำงานครั้งละ 4 นาย จากการพูดคุยกับคนในพื้น่ที่ทราบว่ามีช่องทางหลายเส้นไม่ใช่ถ้ำตัน แต่จะทำอย่างไรจึงจะามารถหาช่องทางนี้ให้เจนอคิดว่าไม่เกินขีดคาวมสามารถแน่นอน
“ปัญหาเท่าที่ฟังคือน้ำขุ่นเมื่อดำลงไปแล้วมองอะไรไม่เห็น ก็เหมือนกับเราหลับตาหาแล้วอะไรซักอย่างหนึ่ง ตรงนี้ก็เป็นอุปสรรคในเรื่องขอกระแสน้ำและความขุ่นแต่เจ้าหน้าที่ก็จะปฏิบัติการให้ดีที่สุดต่อไป” นาวาเอกอนันต์ กล่าว
ล่าสุดมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยซีล สามารถดำน้ำทะลุเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ได้แล้ว อยู่ระหว่างการสำรวจในพื้นที่ แจ้งให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อม
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับถ้ำหลวงเป็นถ้ำเก่าแก่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของ จ.เชียงราย ตั้งอยู่ห่างจากถนนพหลโยธินประมาณ 1 กิโลเมตรพื้นที่ ต.โป่งผา ซึ่งไม่ห่างจากชายแดนไทย–เมียนมา มากนัก โดยบริเวณถ้ำหลวงมีถ้ำต่างๆ ตามธรรมชาติอีกหลายแห่งติดกัน อย่างไรก็ตามถ้ำหลวงแตกต่างจากแห่งอื่นๆ เนื่องจากมีลำธารที่ขนานออกมากับความลึกของถ้ำโดยสามารถสังเกตุได้ตั้งแต่ปากทางเข้าที่มีการทำทางเดินและราวจับคู่กับลำธารที่ไหลออกมา ส่วนภายในมืดสนิทและมีโพลงหรือส่วนเว้าต่างๆ มากมายรวมทั้งมีความลึกหลายกิโลเมตรส่วนที่นักผจญภัยนิยมไปเยือนคือลานพระซึ่งเป็นส่วนเว้าด้านข้างที่อยู่ลึกเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ส่วนที่นักค้นหาสันนิฐานกลุ่มเยาวชนทั้ง 13 คนติดอยู่คือส่วนเว้าที่อยู่ลึกเข้าไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร
โดยด้านหน้ามีน้ำท่วมปิดทางเข้าหมดกว้างแต่ผู้ที่เคยสำรวจระบุว่าฝั่งตรงกันข้ามกับทางเข้ามีเนินหินสูงพ้นน้ำแต่อยู่ห่างออกไปประมาณ 15 เมตร และน้ำลึกกว่า 5 เมตร ทำให้ต้องใช้การดำผ่านโขดหินและช่องทางคับแคบเข้าไป ทำให้ปฏิบัติการช่วยเหลือโดยทางจังหวัดที่ผ่านมาได้จัดนักค้นหาและนักประดาน้ำจากหน่วยกู้ภัยต่างๆ รวม 8 ชุด ทะยอยเข้าไป แต่ว่าไม่สามารถผ่านช่องทางได้เพราะอ๊อกซิเจนหมดเสียก่อนดังกล่าวและพบกับอุปสรรคเรื่องความขุ่นของน้ำและโขดหินกระทั่งทางกองทัพเรือส่งกำลังไปช่ว่ยเหลือทำให้ทุกฝ่ายต่างดีใจและเริ่มเห็นความหวังที่จะข้ามไปค้นหากลุ่มเยาวชนที่อีกฝากหนึ่งของโพลงดังกล่าวได้ส่งผลให้บริเวณปากถ้ำยังคงมีพ่อแม่ผู้ปกครอง ญาติ หรือหน่วยงานต่างๆ แม้แต่ประชาชนทั่วไปที่ไปรอให้กำลังใจในการค้นหาอย่างคับคั่ง.
///