อนุทินเปิดงานกัญชาเตรียมส่ง103ร่างกฎหมายผ่านสภาฯ นำมาใช้ประโยชน์ พร้อมโปรยยาหอม อสม. ได้เงินประจำอาจถึง 2 พันบาท และบุคคลากรทางการแพทย์ต้องดีขึ้น
วันที่ 20 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หอประชุมอาคารคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางมาเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ และมหกรรมกัญชาเพื่อเศรษฐกิจ เขตสุขภาพที่ 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนังกานเขตสุขภาพที่ 1 โดยสำนักงานสาธารณสุข จ.เชียงราย จัดให้มีขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถุกต้องแก่บุคลากรทางกาแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทย อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ตลอดจนประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการ
โดยมีนายบัญชา เชาวรินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และมีทางนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้กล่าวรายงาน โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เจ้าหน้าที่ อสม.และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจมาร่วมงานกว่า 1,000 คน
นายบัญชา กล่าวว่า กัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ทั้ง แผนไทยและแผนปัจจุบัน สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการรักษาทางการแพทย์และประโยชน์ด้านอื่นๆ ซึ่งจังหวัดเชียงรายถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกกัญชาที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันมีประชาชนจังหวัดเชียงราย ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นปลูกกัญแล้ว จำนวน 23,744 ราย โดยแบ่งเป็นการใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อดูแลรักษาสุขภาพ จำนวน 20,957 ราย เชิงพาณิชย์ จำนวน 1,094 ราย ใช้ทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านไทยในการดูแล รักษาผู้ป่วย จำนวน 1,686 ราย และใช้ในเชิงวิจัย จำนวน 7 ราย นอจากนี้ยังมีการเปิดบริการคลินิกกัญชา เพื่อให้การตรวจวินิจฉัย และรักษาด้วยตำรับยากัญชา ทั้งแผนปัจจุบัน และแผนไทยที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลชุมชน 18 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 1 แห่ง
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายขับเคลื่อนกัญชาเสรีทางการแพทย์ ซึ่งนอกจากช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ยังสร้างโอกาสพัฒนาไปสู่พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ สร้างอาชีพให้เกษตรกร และสร้างรายได้ให้ประเทศชาติ หน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในเขตสุขภาพที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และเชียงราย ภายใต้การนำของนายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและผู้บริหารระดับจังหวัด ได้ร่วมมือผลักดันการใช้กัญชาทางการแพทย์และกัญชาในเชิงเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น ประชาสัมพันธ์ให้เครือข่ายผู้ประกอบการได้เข้าใจถึงระเบียบขั้นตอนการขออนุญาตปลูก เน้นให้เกิดการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์กัญชาระหว่างต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ส่วนต้นน้ำได้ส่งเสริมการปลูกกัญชาในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่าในส่วนกลางน้ำ มีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการผลิตยาจากกัญชาและผลิตภัณฑ์สมุนไพร คือ โรงพยาบาล สมเด็จพระยุพราชเด่นชัย จังหวัดแพร่ ส่วนปลายน้ำสามารถเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน จำนวน 114 แห่ง และมีบุคลากรที่ผ่านการอบรมการใช้กัญชาทางการแพทย์ ครอบคลุมทุกสายวิชาชีพ รวมทั้งสิ้น 669 ราย ทำให้ประชาชนเข้าถึงการให้บริการกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบันอย่างทั่วถึงและปลอดภัย
“การจัดประชุมวิชาการกัญชาทางการแพทย์ เขตสุขภาพที่ 1 ในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคม 2565 ณ หอประชุมอาคารคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกัญชาให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้กัญชาทางการแพทย์ และการต่อยอดทางเศรษฐกิจ กิจกรรมในงานประกอบด้วยการประชุมวิชาการ จัดให้มีการบรรยายและเสวนาโดยวิทยากรส่วนกลางและวิทยากรในพื้นที่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ คลินิกกัญชาทางการแพทย์ มีการให้คำแนะนำ ปรึกษา จากแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทย”นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า จ.เชียงราย รวมถึง 8 จังหวัดในเขตสุภาพที่ 1 เป้นพื้นที่ด้านการท่องเที่ยว เป็นเมืองเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่ที่มีคนทั้งในและต่างประเทศเดินทางเข้ามาอย่างมากมาย ดังนั้นระบบสาธารณสุขจะต้องมีมาตรฐานเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับทุกคน เสริมสร้างรายได้ กลไกลทีสำคัญในการขับเคลื่อนค่อบุคลากรทางสาธารณสุข แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ อสม. วันนี้จึงนำของดีมามอบให้นำกัญชง กัญมาใช้ประโยชน์ทางกาแพทย์และพาณิชย์ ไม่มุ่งหวังให้นำมาเพื่อสูบเสพให้เกิดความมึนเมาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเชิง
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะคนภาคเหนือ ทำความเข้าใจกับกัญชาให้ดี ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ทั้งต้น ก้าน ใบและดอก คาดหวังว่านอกจากจะมีประโยชน์ทางการแพทย์ยังสร้างมูลค่าหรือรายได้แก่ประชาชนได้ 2-3ปีอาจทะลุขึ้นไปหลักหมื่นล้านบาทได้ โดยเมื่อวานนี้(19 สิงหาคม) มีข่าวดีว่าทางคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายกัญชาได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถนำส่งให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาได้พิจารณาภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งถือเป้นสิ่งที่ดี หากไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือการโต้แย้งใดๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะไม่มีเพราะคณะกรรมการที่พิจาณราร่างกฎหมายก็มีผู้แทนจากทุกภาคส่วนมาร่วมกันพิจาณากฎหมายนี้อย่างเห็นยฟ้องต้องกันแล้ว
“เดิมทีมีการนำร่างข้อกฎหมายเข้าไปพิจารณามีเพียง 45 มาตราหรือ 45 ข้อ แต่พอนำไปพิจาณราออกมาได้จำนวนถึง 103 มาตรหรือ 103 ข้อ แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาร่างกฎหมายมีการพิจารณาอย่างเต็มที่ และระมัดระวังข้อกฎหมายทุกอย่าง เพิ่มสิ่งที่เป้นประโยชน์ให้เป้นกฎหมายเพื่อดกำเนินการต่อไป ถือว่าเป้นนิมิตหมายที่ดีที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากกฎหมายกัญชากันถ้วนหน้า”นายอนุทินกล่าวและว่าอย่างไรก็ตามการใช้กัญชาก็ต้องใช้ก็ต้องมีการควบคุมอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20ปีได้เข้าถึง ห้ามสูบในที่สาธารณะ ห้ามโฆษณาสินค้าผ่านทางสื่อทุกสื่อ อยากให้พี่น้องประชาชนทำความเข้าใจกับกัญชาให้รอบด้านเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
นายอนุทิน กล่าวอีกว่าครั้งแรกมีการอนุยาติให้ปลูกครอบครัวหรือครัวเรือนได้ 6 ต้นแต่ตอนนี้ได้ขายให้แต่ละครอบครัวปลุกได้ถึง 15 ต้น แต่ต้องขออนุญาตผ่านแอปปลูกกัญอย่างถูกต้องก่อน กฎหมายปลดล็อคแล้ว่าพืชกัญชาไม่ไช่ยาเสพติด ท่จะเป็นยาเสพติดได้คือสารสกัดจากกัญชาที่มีความเข้มข้น 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งยาต่างๆที่ผลิตจากกัญชาจะสามารถช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ยาสมัยใหม่หรือยาที่มีสรรพคุณคล้ายกันเช่นยานอนหลับหรือยาลดความตื่นตระหนก หากใช้น้ำมันกัญชามารักษาประชาชนได้ ยาเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้าค่าใช้จ่ายก็จะลดลงอย่างแน่นอน ซึ่งนี่อาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มผู้ผลิตยาใหญ่ที่ออกมารณรงค์ไม่ให้ร่างกฎหมายกัญชาผ่าน
นายอนุทิน กล่าวว่ามาถึงตอนนี้ตนยังมองว่ากัญชาเป็นโอกาสของคนไทยทั้งประเทศที่จะมีรายได้ ซึ่งใครคว้าก่อนก็จะได้ครองตลาดหรือส่วนแบ่งของสินค้าได้ก่อนคนอื่น ตอนนี้เริ่มมีการผลิตสินค้ากันแล้วทั่วประเทศ จ.เชียงราย ด้วยตัวจังหวัดเองและภูมิประเทศ เมหมาะสมกับการปลุกพืชชนิดนี้ หากประชาชนสนใจก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ หากใช้กัญชาอย่างถูกต้องจะไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใดและไม่ขัดต่อกฎหมายด้วย
นายอนุทินยังกล่าวถึงสวสัดิการหรือค่าตอบแทนของ อสม.ด้วยว่ากระทรวงสาธารณสุขจะรับไปพิจรณาจะดูแลเรื่องค่าตอบแทนให้ดีขึ้น โดยอาจให้ได้ถึง 1,500 บาท แต่ก็จะพยายามให้ได้ถึง 2,000 บาท เพื่อที่คนที่เป็น อสม.จะได้มีคุณค่าว่ายังอยู่ในสายตาของกระทรวงสาธารสุข และจะพยายามจะดุแลค่าาป่วยการหรือค่าเสี่ยงภัยอื่นๆด้วย
งานพ่อขุนเม็งรา…
วันที่ 18 ธันวา…
สถานคุ้มครองสวั…